ประเภทของน้ำหอม

7 ปีที่ผ่านมา

โดย เจ้าของร้าน

นํ้าหอมนั้นเป็นผลของส่วนผสมหลัก 2 อย่าง นั่นก็คือ นํ้ามันหอม (Fragrant Oils) ที่ถูกทำให้เจือจางลงด้วยแอลกอฮอล์ (Alcohol) ระดับความเข้มข้นของความหอมที่ถูกทำให้เจือจางลงด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งระดับความเข้มข้นนี้จะมีระดับความเข้มข้นที่ต่างกันไป เราจึงแบ่งนํ้าหอมออกเป็น 4 ชนิดหลัก ๆ ตามระดับความเข้มข้นของกลิ่นหอมได้ดังนี้

1. Perfume มีปริมาณหัวน้ำหอมมากที่สุดคือ 15-40% ราคาแพงกว่าน้ำหอมประเภทอื่นๆ เวลาใช้ ให้แตะตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ควรใช้วิธีฉีดแบบสเปรย์

2. Eau de parfum (Edp) มีปริมาณหัวน้ำหอมน้อยกว่า perfume คือ 7-15% เป็นน้ำหอมประเภทที่นิยมกันมากที่สุด เพราะใช้แล้วให้กลิ่นหอมนานเกือบตลอดวัน และราคาไม่แพงมาก เวลาใช้ ให้ฉีดตามส่วนของร่างกายที่มีอุณหภูมิค่อนข้างอุ่นกว่าส่วนอื่นๆ เช่น ข้อมือ หัวไหล่ ตรงกลางของหน้าอก ช่วงข้อพับตรงกลางแขน

3. Eau de toilette(Edt) มีปริมาณน้ำหอมน้อยลงมาอีกคือ 1-6% ให้กลิ่นหอมนานเพียง 3 ชั่วโมง จึงเหมาะที่จะใช้ลูบไล้ทั่วร่างกายเพื่อให้ความสดชื่น ในเว็บแนะนำว่าไม่ควรแตะ eau de toilette ตรงชีพจร แต่ควรใช้แตะหวี แล้วใช้หวีแปรงผมให้ทั่ว จะให้กลิ่นหอมที่ติดทนนานกว่า

4. Eau de cologne (Edc) นิยมใช้ในสมัยนโปเลียน นิยมใช้ในสมัยนโปเลียน บางครั้งใช้แทนคำว่า eau de toilette ก็ได้

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ประเภทโลชั่น แป้ง หรือ สบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม ก็สามารถทำให้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ติดผิวได้นานตลอดวันเช่นกัน

ประเภทขอน้ำหอมตามภาพประกอบ เป็นการยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจถึง การแบ่งประเภทอย่างง่ายๆเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว คุณภาพหัวน้ำหอมของแต่ละแบรนด์จะไม่เท่ากัน

- สำหรับบางแบรนด์ ถึงจะเป็น EDP หัวน้ำหอมเข้มข้นแต่กลิ่นติดไม่ทน ก็มี

- สำหรับบางแบรนด์ ถึงจะเป็นแค่ EDT แต่กลิ่นติดทนนาน ก็มีเช่นกัน

นอกจากประเภทหรือคุณภาพของหัวน้ำหอม ที่เป็นปัจจัยในความทนของน้ำหอมแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่สำคัญ นั่นคือ " เคมีบนผิว " เพราะมนุษย์ทุกคนมีต่อมบนผิวที่ผลิตเคมีเฉพาะตัวของแต่ละคนออกมา เคมีดังกล่าวนี้ ที่อาจจะทำให้น้ำหอมไม่ติดทนกับบุคคลนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น A ใช้แล้วติดทน ติดนาน แต่ B ใช้แป้บเดียวก็จาง เป็นต้น